รังแค...รังควานใจ กำจัดอย่างไรให้หายขาด!!

รังแค (Dandruff) เป็นภาวะเรื้อรังที่ขึ้นกับหนังศรีษะและพบได้บ่อยกับคนทุกเพศทุกวัย ก่อให้เกิดอาการคัน หนังศรีษะแห้ง มีลักษณะเป็นสะเก็ดสีขาว แบน และบางที่เส้นผมหรือหนังศรีษะ โดยมักจะพบและสังเกตเห็นสะเก็ดสีขาวนี้ร่วงลงมาจากศรีษะปรากฏชัดเจนที่บริเวณบ่า ปัญหารังแคไม่ได้แค่ทำให้เราใส่เสื้อผ้าสีดำไม่ได้เท่านั้น แต่ยังทำให้เกิดความรำคาญและทรมานเพราะอาการคัน เนื่องมาจากการที่หนังศรีษะมีความมันเกินไปบ้าง แห้งเกินไปบ้าง อย่างไรก็ตามรังแคไม่ใช่โรคติดต่อและไม่เป็นอันตราย ซึ่งส่วนใหญ่สามารถรักษาและควบคุมอาการได้ไม่ยาก
อาการของรังแค มีดังนี้
- มีสะเก็ดสีขาวหรือเหลือง ลักษณะเป็นแผ่นบางมันวาว มักพบบริเวณหนังศรีษะ เส้นผม หรือหัวไหล่
- มีอาการคันศรีษะ หนังศรีษะมัน แดง หรือเป็นสะเก็ด
- มักพบว่าเป็นมากในช่วงฤดูหนาว และอาการจะดีขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อน
สาเหตุของรังแค
หนังศรีษะของเราจะมีการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวใหม่ทุกๆ 28 วัน ซึ่งรังแคจะเกิดขึ้นเมื่อวงจรการสร้างและผลัดเซลล์ผิวดังกล่าวเร็วกว่าปกติ ทำให้เซลล์ผิวที่ตายแล้วก่อตัวเป็นแผ่นและเป็นสะเก็ด โดยเกิดจากสาเหตุดังต่อไปนี้
- โรคผิวหนังอักเสบ (Seborrheic Dermatitis) เป็นภาวะที่ทำให้ผิวหนัง แดง และเป็นสะเก็ด สามารถเกิดขึ้นได้ทุกบริเวณในร่างกายที่มีต่อมน้ำมันรวมไปถึง คิ้ว ขาหนีบ รักแร้ หรือบริวณข้างจมูก และสำหรับภาวะผิวหนังอักเสบที่เกิดในเด็กจะเรียกว่า ภาวะผิวหนังอักเสบในทารก (Cradle Cap)
- เชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia) ปกติเชื้อราชนิดนี้จะอาศัยอยู่ที่หนังศรีษะอยู่แล้ว แต่มีอยู่ในปริมาณที่น้อยและไม่ค่อยสร้างปัญหา บางกรณีอาจมีปัญหารังแคเรื้อรัง ก่อให้เกิดอาการอักเสบของหนังศรีษะ (Pityriasis Capitis) จึงทำให้เชื้อราชนิดนี้เจริญเติบโตมากกว่าปกติจึงทำให้เกิดรังแคตามมา
- เชื้อราบนหนังศรีษะ (Tinea Capitis) หรือกลากบนหนังศรีษะ เป็นภาวะที่เชื้อราได้กระจายตัวลึกลงไปยังรูขุมขน ก่อให้เกิดอาการคันที่หนังศรีษะและอาจทำให้ผมร่วงเป็นหย่อมได้
- โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นโรคผิวหนังอักเสบรื้อรังชนิดหนึ่ง ทำให้เกิดอาการคันและผิวหนังตกสะเก็ด ซึ่งคล้ายกันกับรังแคแต่จะมีความรุนแรงกว่า
- ภาวะผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema) เป็นภาวะทางผิวหนังที่พบได้บ่อย สามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้ โดยทำให้ผิวแห้ง แดง ตกสะเก็ดและคัน
- การเร่งผลัดเซลล์ผิวในอัตราที่ผิดปกติ ทำให้มีเซลล์ที่ตายแล้วถูกผลัดออกมาสะสมเป็นกลุ่มก้อนหนาๆ คือรังแคนั่นเอง จากนั้นอาการคันศรีษะก็จะตามมา การสะสมของรังแคยังไปอุดรูขุมขนของเส้นผม ทำให้น้ำมันจากต่อมไขมันที่รากผมไม่สามารถระบายออกมาได้ หนังศรีษะจะขาดน้ำมันหล่อลื่น จึงแห้งและคันมากยิ่งขึ้นด้วย
- หนังศรีษะได้รับเคมีรุนแรงเป็นประจำจนเกิดอาการแพ้ เป็นอาการหรือปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นจากการสัมผัสกับผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับศรีษะ เช่น ตัดผมบ่อย ทำสีผมบ่อย ใช้แชมพูแรง ใช้สเปรย์ฉีดผม ที่เป่าผม เจลหรือมูสแต่งทรงผม หนังศรีษะจะถูกกระทบมาก ทำให้แห้งและทำให้มีการเร่งผลัดเซลล์ผิวในอัตราเร็วกว่าปกติ
- ผิวและหนังศรีษะแห้ง ทำให้มีเกล็ดผิวหนังคล้ายรังแค แต่จะมีขนาดเล็กและมีความมันน้อยกว่า และโดยปกติจะไม่ทำให้เกิดอาการแดงหรืออักเสบ นอกจากนั้นจะพบว่าผิวหนังส่วนอื่นๆของร่างกาย เช่น แขนและขาก็แห้ง
ปัจจัยที่ทำให้มีรังแคเพิ่มขึ้น
- เพศและอายุ รังแคสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่โดยทั่วไปมักจะเกิดกับวัยหนุ่มสาวจนไปถึงวัยกลางคน แต่สำหรับบางรายสามารถเป็นได้ตลอดชีวิต นอกจากนั้นจากการวิจัยพบว่าเพศชายมีโอกาสเป็นรังแคได้มากกว่าเพศหญิง ฮอร์โมนเพศชายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดรังแค
- มีน้ำมันที่เส้นผมและหนังศรีษะมาก เชื้อรามาลาสชีเซีย (Malassezia) สามารถเติบโตได้จากน้ำมันบนหนังศรีษะ เมื่อเชื้อราชนิดนี้มีมากกว่าปกติจะทำให้เกิดรังแค
- โรคบางขนิด เช่น โรคพาร์กินสัน (Parkinson Disease) ทำให้มีโอกาสเกิดโรคผิวหนังอักเสบและรังแค แต่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด รวมไปถึงการติดเชื้อเอชไอวี (HIV) หรือภาวะที่เกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย ก็อาจทำให้เกิดรังแคได้เช่นกัน
- ปัจจัยอื่นๆ ได้แก่
- กรรมพันธุ์
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- รัประทานอาหารที่มีรสหวาน รสเผ็ด และรสเค็มจัด
- การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น กรดไขมัน และวิตามินซี
- การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
- ความเครียด
- การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
- การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป
- รัประทานอาหารที่มีรสหวาน รสเผ็ด และรสเค็มจัด
- การขาดสารอาหารบางชนิด เช่น กรดไขมัน และวิตามินซี
- การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศ
- ความเครียด
การวินิจฉัยรังแค
การวินิจฉัยรังแค สามารถทำได้โดยแพทย์โรคผิวหนัง ซึ่งส่วนใหญ่แพทย์จะวินิจฉัยได้จากการตรวจที่เส้นผมหรือหนังศรีษะ โดยเฉพาะผู้ที่มีภาวะทางผิวหนัง เช่น ภาวะผื่นผิวหนังอักเสบ (Eczema) หรือโรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) ซึ่งเป็นภาวะที่มีความรุนแรงกว่ารังแคทั่วไป หรือผู้ที่ซื้อผลิตภัณฑ์ขจัดรังแคมาใช้เองและทำให้อาการดีขึ้น ควรจะได้รับการวินิจฉัยโดยแพทย์โรคผิวหนัง ซึ่งแพทย์จะสามารถตรวจหาสาเหตุพร้อมให้คำแนะนำและให้การรักษาที่เหมาะสมได้
การรักษารังแค
การรักษาด้วยตนเอง สามารถซื้อแชมพูขจัดรังแคจากร้านขายยาหรือร้านค้าทั่วไป โดยใช้แชมพูที่มีส่วนประกอบดังต่อไปนี้
- ซีลีเนียม (Selenium) จะช่วยชะลอการผลัดเซลล์ผิวและช่วยลดเชื้อรามาลาสซีเซีย (Malassezia)
- ซิงค์ไพริไทออน (Zinc Pyrithione) สามารถช่วยลดเชื้อราบนหนังศรีษะที่เป็นต้นเหตุให้เกิดรังแคและผิวหนังอักเสบได้
- ยาคีโตโคนาโซล (Ketoconazle) มีฤทธิ์ต้านเชื้อราได้หลายชนิด ซึ่งถูกนำมาใช้เพื่อกำจัดเชื้อราบนหนังศรีษะที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดรังแค
- น้ำมันดิน (Coal Tar) เป็นผลพลอยได้ที่มาจากกระบวนการผลิตถ่านหิน ซึ่งถูกนำมาใช้ช่วยรักษาภาวะผิวหนัง เช่น รังแค ผิวหนังอักเสบ และโรคสะเก็ดเงิน โดยมีฤทธิ์ในการชะลอการผลัดเซลล์ผิวไม่ให้เร็วเกินไป
- กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ช่วยขจัดเกล็ดผิวหนังส่วนเกินออกก่อนที่จะก่อตัวเป็นสะเก็ดและเป็นรังแค มีข้อเสียคือ อาจทำให้ผิวหนังแห้ง และทำให้เกิดสะเก็ดมากขึ้นสำหรับบางราย แต่สามารถใช้ครีมนวดผมหลังจากใช้แชมพูที่มีกรดตัวนี้เป็นส่วนประกอบ เพื่อป้องกันไม่ให้หนังศรีษะแห้งจนเกินไป
ก่อนใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดรังแค ควรอ่านฉลากให้ละเอียดและหากมีช้อสงสัยควรสอบถามกับเภสัชกรให้เข้าใจ ควรลองใช้แชมพูให้หลากหลายชนิดและใช้เป็นระยะเวลาประมาณ 1 เดือน เพื่อให้ทราบว่าชนิดใดเหมาะกับตนเองที่สุด เมื่อพบว่าอาการดีขึ้นแล้วอาจใช้น้อยครั้งลงได้ แต่ไม่ควรหยุดใช้ทันทีเพราะอาจทำให้เป็นรังแคได้อีกครั้ง
การรักษาโดยแพทย์ โดยปกติไม่จำเป็นต้องรักษาโดยแพทย์ แต่ควรไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษา หากพบว่าเกิดปัญหาต่อไปนี้
- ใช้แชมพูขจัดรังแคมาเป็นเวลาอย่างน้อย 1 เดือน แต่อาการไม่ดีขึ้นหรืออาการแย่ลง
- เป็นรังแคอย่างรุนแรงและมีอาการคันศรีษะมาก
- หนังศรีษะแดงหรือบวม
- เป็นผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น กำลังรักษาด้วยเคมีบำบัด เป็นเอชไอวี (HIV) หรือกำลังใช้ยาที่ระงับภูมิคุ้มกัน
แพทย์จะเริ่มต้นรักษาด้วยการวินิจฉัย ตรวจสุขภาพเส้นผมและหนังศรีษะเพื่อหาสาเหตุที่ทำให้เกิดรังแค โดยหากพบว่ามีอาการรุนแรง แพทย์อาจสั่งจ่ายยาขจัดรังแคที่มีความเข้มข้นสูงกว่าที่ซื้อใช้เองได้ เช่น โลชั่น แชมพู ที่มีส่วนประกอบของน้ำมันมะพร้าว และกรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ร่วมกับสเตียรอยด์ หรืออาจจำเป็นต้องใช้ยาอื่นๆ เช่น แชมพูต้านเชื้อรา ยาคอร์ติโซนใช้เฉพาะที่ ยาสารละลาย ยาครีมหรือขี้ผึ้ง เป็นต้น
การป้องกันรังแค
การป้องกันรังแคสามารถทำได้ไม่ยาก ด้วยวิธีดูตนเองดังต่อไปนี้
- ควรใช้แชมพูที่อ่อนโยนและมีมอยส์เจอร์สระและนวดเบาๆด้วยปลายนิ้ว เพื่อเพิ่มความชุ่มชื่นให้หนังศรีษะ และควรสระผมด้วยแชมพูขจัดรังแคอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อเป็นการดูแลหนังศรีษะและลดอาการคัน
- หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้กับผมและหนังศรีษะที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการระคายเคือง เช่น แอลกอฮอล์หรือสารฟอกขาว เพราะส่วนผสมดังกล่าวสามารถทำให้หนังศรีษะแห้งได้ นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดความมันบนหนังศรีษะ เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดรังแค
- ควรออกไปสัมผัสกับแสงแดดเล็กน้อยเป็นประจำทุกวัน เพราะจากการศึกษาพบว่าแสงแดดสามารถช่วยควบคุมการเกิดรังแคได้
- ไม่ควรใช้น้ำอุ่นสระผม เพราะน้ำอุ่นจะทำให้น้ำมันธรรมชาติบนหนังศรีษะถูกชะล้างออกมากเกินไป ทำให้หนังศรีษะขาดความชุ่มชื้น
- เนื่องจากความเครียดเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดรังแคหรือทำให้มีอาการที่แย่ลง และยังส่งผลเสียต่อสุขภาพโดยรวม ดังนั้นควรหาทางจัดการกับความเครียดด้วยวิธีผ่อนคลายต่างๆ เช่น การฝึกหายใจ การออกกำลังกาย หรือการทำสมาธิ
รังแคไม่ใช่ปัญหาใหญ่แต่อาจก่อให้เกิดความรำคาญใจจากอาการคันหนังศรีษะ และเนื่องจากรักแคสามารถเห็นได้ง่ายบริเวณบ่าและไหล่ หรือหนังศรีษะ จึงทำให้ผู้ที่เป็นเสียความมั่นใจและทำให้เสียบุคลิกได้ จาปินมีผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและหนังศรีษะที่มีคุณภาพและปลอดภัย ด้วยส่วนผสมจากธรรมชาติ และผ่านขั้นตอนการผลิตที่ได้มาตรฐาน อ่อนโยนต่อเส้นผมและหนังศรีษะ เชิญมาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับครอบครัวจาปินนะคะ