มลพิษ “ฝุ่น”


ช่วงเวลาประมาณ 1 เดือนเศษมานี้ ทุกท่านคงจะได้ติดตามข่าวเกี่ยวกับมลพิษ ฝุ่น PM 2.5 ซึ่งดังไปทั่วกรุงเทพฯ ทั่วประเทศไทย และทั่วโลก ในความเป็นจริง กรุงเทพฯที่เราพักอาศัยอยู่นี้ มีเรื่องของมลพิษมากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของมลพิษเกี่ยวกับฝุ่นมีมานานแล้ว แต่ไม่รุนแรงถึงขั้นที่เป็นอันตรายกับผู้อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ จึงไม่เป็นข่าวดังไปทั่วโลกเหมือนครั้งนี้
ผู้เขียนอยู่คอนโดมิเนียมชั้น 27 ในกลางเมืองกรุงเทพฯ มากว่า 20 ปีแล้ว ช่วงเช้ามายืนดูวิวกรุงเทพฯ มักพบว่ามีหมอกขาวๆปกคลุมรอบๆอยู่ในระดับชั้นที่ 18-19 ของตัวตึก แต่ในระยะ 2-3 เดือนมานี้ หมอกขาวๆที่เห็นมักจะเป็นสีเทาอ่อนๆจนถึงสีเทาเข้ม ทำให้เข้าใจได้ว่า หมอกที่เห็นคงไม่ใช่อากาศบริสุทธิ์แน่นอน เป็นควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์มากกว่า ในกรุงเทพฯมีรถยนต์และรถจักรยานยนต์มากกว่าหลายล้านคัน ช่วงเวลาเร่งด่วนในตอนเช้าและตอนเย็น มีรถหนาแน่น และติดเป็นเวลานาน ทำให้ท่อไอเสียรถยนต์ต่างปล่อยควันพิษสีเทา สีดำ และสีขาวออกมามากมาย ก่อให้เกิดมลพิษของฝุ่นปะปนในกลุ่มควันดังกล่าวมากมาย ก่อตัวหนาแน่นเปลี่ยนจากหมอกสีขาวเป็นสีเทา หรือสีดำ ประกอบกับงานก่อสร้างรถไฟฟ้าบนดินหลายสาย ทำให้มีการปิดถนนหรือลดช่องทางเดินรถให้วิ่งในช่องทางน้อยลง รถยนต์และรถจักรยานยนต์ยิ่งหนาแน่นมากขึ้น การเคลื่อนตัวของรถยิ่งช้าลง มีการจอดแช่บนท้องถนนยาวนานขึ้น ฝุ่นจากงานก่อสร้างและควันพิษจากท่อไอเสียรถยนต์เพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณ รวมถึงมีการก่อสร้าง อาคารชุดคอนโดมิเนียมในระดับสูง รวมถึงการก่อสร้างอื่นๆ เช่น ซ่อมถนน ย้ายสายไฟฟ้าลงใต้ดิน งานวางท่อระบายน้ำ วางสายโทรศัพท์ ซ่อมท่อประปา และอื่นๆ ก่อให้เกิดมลภาวะของฝุ่นอย่างรุนแรง นอกจากนี้ ยังมีควันพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม การเผาต้นไม้ใบหญ้า การเผาขยะ รวมถึงการสูบบุหรี่ในที่สาธารณะและตามห้องน้ำต่างๆ ล้วนก่อให้เกิดมลภาวะควันพิษและมลพิษจากฝุ่นอย่างมากมาย เกิดการสะสมจนก่อให้เกิดมลพิษ “ฝุ่น” ขึ้นในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น นครปฐม นนทบุรี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และปทุมธานี เป็นต้น ล้วนได้รับผลกระทบจากมลพิษ “ฝุ่น” ทั้งสิ้น
ที่กล่าวกันว่า PM 2.5 ไมครอน หมายถึง ขนาดของฝุ่นที่เกิดขึ้น หน่วยไมครอน คือ การบ่งบอกขนาดของฝุ่น 1 ไมครอน เท่ากับ 1/1000 มิลลิเมตร ดังนั้นฝุ่นละอองที่ก่อให้เกิดเป็นมลพิษทางอากาศ มีขนาดเล็กมาก แทบจะมองด้วยตาเปล่าไม่เห็น PM 2.5 ไมครอนจึงเท่ากับ 2.5/1000 มิลลิเมตร มีขนาดเล็กมากจนหน้ากากอนามัยปกติทั่วไป ไม่สามารถกรองฝุ่นพวกนี้ได้ ต้องใช้หน้ากากอนามัยที่ผลิตพิเศษสำหรับกันฝุ่น PM 2.5 ไมครอน หรือต้องเสริมกระดาษทิชชูในหน้ากากอนามัยถึง 2 แผ่น จึงจะปิดกั้นฝุ่นได้อยู่
อันตรายจากฝุ่นเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองตา จมูก แสบตา แสบจมูก เกิดอาการแพ้ น้ำตาไหลบ่อย น้ำมูกไหลบ่อย เกิดการแพ้อากาศ ไอ จาม เจ็บคอ ติดเชื้อโรค ตาแดงอักเสบ โพรงจมูกอักเสบ คออักเสบ ทอนซิลอักเสบ ลุกลามไปเยื่อแก้วหูอักเสบ เส้นประสาทใบหน้าอักเสบ หากรุนแรงกว่านี้ เช่น หลอดลมอักเสบ และปอดอักเสบได้
ดังนั้น เราจำเป็นต้องดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และป้องกันภาวะการรับฝุ่นพิษเหล่านี้ ด้วยการเสริมภูมิต้านทานร่างกายให้แข็งแรง มีหลักปฏิบัติดังนี้
- หลีกเลี่ยงอากาศที่มีมลพิษฝุ่น สวมใส่หน้ากากอนามัยในที่สาธารณะทุกครั้ง
- ดื่มน้ำให้มาก วันละ 6-8 แก้ว (1.5-2 ลิตร) เป็นอย่างน้อย และไม่อั้นปัสสาวะ
- รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และเพียงพอต่อร่างกาย
- พักผ่อนให้เพียงพอ และผ่อนคลายร่างกาย ทั้งกายและใจ อารมณ์แจ่มใส
- ออกกำลังกายให้มีเหงื่อออก สัปดาห์ละ 3 วัน เป็นอย่างน้อย
- ขับถ่ายให้ปกติ ไม่ควรปล่อยให้ท้องผูก
- หลีกเลี่ยงหรืองด เหล้า บุหรี่ ฯลฯ
การดื่มน้ำไอ-วอเตอร์เป็นประจำมีผลช่วยเสริมให้ร่างกายแข็งแรง ต้านมลภาวะฝุ่นพิษได้ ก่อให้เกิดการเสริมสร้างภูมิต้านทาน ร่างกายแข็งแรง ซ่อมแซม ฟื้นฟูร่างกายส่วนที่ผิดปกติ หรือส่วนที่เสื่อมให้กลับสู่สภาพปกติหรือใกล้เคียงปกติได้ อย่าลืม!! ดื่มน้ำไอ-วอเตอร์เพื่อผลดีต่อร่างกายตลอดไป